tag:blogger.com,1999:blog-26473548681332066652024-03-13T15:34:20.669+07:00BGRS ผลไม้เพื่อสุขภาพPANARATANAhttp://www.blogger.com/profile/11659354338411551061noreply@blogger.comBlogger2125tag:blogger.com,1999:blog-2647354868133206665.post-44667630799297591962011-06-18T10:03:00.000+07:002011-06-18T10:03:06.750+07:00ผลไม้เพื่อสุขภาพ - กล้วยหอม<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgn6LRM1S2fMGzDKdsBtWrasKbXQRremUlPKBAEeohmDS6SXnKH-ly0wAlCBwmQS6X4pgRq64NEKSitukp3NMcSQCdC0jLycq7DJ0rsVegUcrByYxcJOrj6ynDoPI9QbwbBVL5WlLkUTyMs/s1600/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A5%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="164px" i$="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgn6LRM1S2fMGzDKdsBtWrasKbXQRremUlPKBAEeohmDS6SXnKH-ly0wAlCBwmQS6X4pgRq64NEKSitukp3NMcSQCdC0jLycq7DJ0rsVegUcrByYxcJOrj6ynDoPI9QbwbBVL5WlLkUTyMs/s200/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A5%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A1.jpg" width="200px" /></a></div><strong>กล้วยหอม</strong><br />
<br />
กล้วยหอมเป็นผลไม้เมืองร้อน พบได้ทางตอนใต้ของประเทศจีน เช่น มณฑลฝูเจี้ยน กวางตุ้ง ยูนนาน เป็นต้น กล้วยหอมสุกมีส่วนประกอบของแป้งร้อยละ ๐.๕ โปรตีนร้อยละ ๑.๓ ไขมันร้อยละ ๐.๖ น้ำตาลร้อยละ ๑๑ นอกจากนี้ ยังมีวิตามิน เอ บี ซี อี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก รวมถึง 5-ไฮดร็อกซีทริปทามีน (5-hydroxytryptamin) นอร์อะดรีนาลิน (noradrenaline) โดพามีน (dopamine) ในปริมาณเล็กน้อย<br />
<strong>กล้วยหอมในทัศนะแพทย์แผนจีน</strong><br />
กล้วยหอมมีรสหวาน ฝาดเล็กน้อย รสเย็นมาก เข้าเส้นลมปราณ ปอด และลำไส้ใหญ่<br />
<br />
<strong>สรรพคุณ</strong><br />
๑. เนื่องจากฤทธิ์เย็น และเข้าเส้นลมปราณปอด จึงมีการนำกล้วยหอมมาใช้รักษาโรคร้อน กระหายน้ำ (การถ่ายทอดสดกีฬาเทนนิสจากต่างประเทศ มีนักกีฬาระดับโลกหลายคนช่วงพักระหว่างการแข่งขันหยิบกล้วยหอมขึ้นมากิน) แผลอักเสบ บวม แก้เมาเหล้า ไอเรื้อรังเนื่องจากแห้ง<br />
๒. เข้าเส้นลมปราณลำไส้ใหญ่ ทำให้ลำไส้ใหญ่ไม่แห้ง แก้ท้องผูก ถ่ายเป็นเลือด<br />
๓. กล้วยที่ไม่สุกมีสารธรรมชาติบางอย่างในการป้องกันแผลกระเพาะอาหาร ช่วยทำให้เซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหารแบ่งตัวดีขึ้น ซ่อมแซมแผลที่อักเสบได้เร็วขึ้น ช่วยกระจายการเกาะตัวของเลือด<br />
<strong>ตำรับอาหารสมุนไพรกล้วยหอม</strong><br />
<strong>๑. ซุปกล้วยหอมข้น</strong><br />
กล้วยหอม ๔๐๐ กรัม นมวัว ๕๐๐ กรัม น้ำตาลทรายขาว ๑๐๐ กรัม แป้งเผือก ๑๕ กรัม <br />
เตรียมกล้วยหอมหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แป้งเผือกผสมน้ำพอประมาณ เทน้ำนมวัวใส่ในหม้อ ใส่น้ำเล็กน้อย ต้มจนเดือด จากนั้นใส่กล้วย น้ำตาล รอจนน้ำเดือดค่อย ใส่แป้งเผือกลงไป ต้มจนเป็นซุปข้น<br />
<br />
<strong>สรรพคุณ</strong><br />
<ul><li>ขับร้อน </li>
<li>หล่อลื่นลำไส้ ทำให้ลำไส้ไม่แห้ง </li>
<li>แก้ปอดแห้ง </li>
<li>ไอเรื้อรัง </li>
<li>ระบบการย่อยไม่ดี </li>
<li>แผลกระเพาะอาหาร </li>
<li>ท้องผูก</li>
</ul><strong>๒. กล้วยหอมตุ๋นน้ำตาลทรายกรวด</strong>กล้วยหอม ๒ ใบ เอาเปลือกออก ใช้น้ำตาลทรายกรวดปริมาณพอเหมาะ ใส่ในภาชนะที่จะตุ๋น แล้วใส่น้ำโดยรอบภาชนะ ปิดฝาตุ๋นกินวันละ ๑-๒ ครั้ง กินติดต่อกันหลายวัน<br />
<br />
<strong>สรรพคุณ </strong><br />
<ul><li>ช่วยทำให้ปอดไม่แห้ง </li>
<li>แก้ท้องผูก </li>
<li>แก้ร้อนใน </li>
<li>ไอเรื้อรัง </li>
<li>แก้ริดสีดวงทวาร</li>
</ul><strong>๓. ตำรับยาระบายอย่างง่าย-แก้ริดสีดวงทวาร</strong><br />
- กล้วยหอม ๒ ลูก ไม่ต้องเอาเปลือกออก นำมาตุ๋นจนสุก กินทั้งเปลือก รักษาอาการถ่ายเป็นเลือด ริดสีดวงทวาร<br />
- ตื่นนอน ท้องว่าง กินกล้วยหอมวันละ ๑-๒ ลูก รักษาท้องผูก เนื่องจากลำไส้แห้ง<br />
- เปลือกกล้วยหอม ๓ ผล ซานจา ต้มน้ำดื่ม รักษาอาการกระหายน้ำ และคอแห้ง<br />
- กล้วยหอมจุ่มน้ำผึ้ง กินตอนเช้า และกลางคืน ครั้งละ ๑ ลูก รักษาอาการท้องผูก<br />
- กินกล้วยหอมวันละ ๓ ครั้ง ครั้งละ ๑-๒ ลูก รักษาภาวะความดันเลือดสูง<br />
<strong>ข้อควรระวัง</strong><br />
การกินกล้วยหอม มีข้อควรระวัง ดังนี้<br />
๑. ในรายที่ต้องการใช้รักษาอาการถ่ายเป็นเลือด ริดสีดวงทวาร ควรใช้ตุ๋นกล้วยหอมทั้งเปลือก<br />
๒. ไม่ควรกินมากเกินขนาด เพราะมีฤทธิ์เย็น คนที่มีระบบการย่อยไม่ดี ท้องอืด มีลมในท้องมาก มีเสมหะมากเนื่องจากม้ามพร่องไม่ควรกิน เพราะจะทำให้อาการกำเริบมากขึ้น<br />
๓. ต้องคำนึงอยู่เสมอว่า อาการหรือสมุนไพรใดๆ ไม่ควรกินติดต่อกันนานๆ ขึ้นกับสภาพร่างกายของแต่ละคน<br />
<br />
ขอขอบพระคุณ นพ.วิทวัส (ภาสกิจ) วัณนาวิบูล (ผู้เขียน) และนิตยสารมูลนิธิหมอชาวบ้าน ที่เอื้อเฟื้อข้อมูลเพื่อประโยชน์แก่สาธารณะPANARATANAhttp://www.blogger.com/profile/11659354338411551061noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2647354868133206665.post-72499794809782013292011-05-30T10:55:00.000+07:002011-05-30T10:55:40.920+07:00ผลไม้เพื่อสุขภาพ - มะเฟือง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjhgXOUzW8QMb-UCukr39O05QR2JRcfE0VfnNaASX0y7dqoLmhoDkjzCsn0PbKmzxoiiFbnnzjA5QvApkxH-Kdrk1qpkQLAtR4YbOErCPnxLl7shCFpSDPZbV44WFg1xuhrT1n2Q7VBfTOc/s1600/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259F%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587.bmp" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320px" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjhgXOUzW8QMb-UCukr39O05QR2JRcfE0VfnNaASX0y7dqoLmhoDkjzCsn0PbKmzxoiiFbnnzjA5QvApkxH-Kdrk1qpkQLAtR4YbOErCPnxLl7shCFpSDPZbV44WFg1xuhrT1n2Q7VBfTOc/s320/%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259F%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587.bmp" t8="true" width="244px" /></a></div><strong>มะเฟือง</strong><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Averrhoa carambola L. ,วงศ์ Oxalidaceae <br />
</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><strong>ชื่อสามัญภาษาอังกฤษคือ</strong> Carambola, Star Fruit หรือ Star Apple<br />
<br />
มะเฟืองเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลักษณะเป็นทรงพุ่ม มีทั้งลักษณะตั้งตรงและกึ่งเลื้อย เป็นไม้เนื้ออ่อน โตช้า สูงไม่เกิน 30 ฟุต แกนกลางมีไส้คล้ายฟองน้ำสีแดงอ่อน ลำต้นสีน้ำตาล เปลือกลำต้นไม่เรียบ <br />
</div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><strong>ใบ</strong>เป็นใบประกอบ รูปใบมนรี ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ก้านใบสั้น ใบด้านบนเรียบด้านล่างมีขนบาง ใบย่อยที่ปลายก้านมักใหญ่ ใบเรียงตัวแบบเกลียว</div><div style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
<strong>ดอก</strong>มะเฟืองออกตามซอกใบเป็นช่อสั้นๆ มีสีชมพูอ่อนไปจนถึงเกือบแดงตรงกลางหลอดดอกมีสีเหลือง มีกลีบดอก 5 กลีบ ปลายกลีบโค้งงอ โคนกลีบดอกจะมีสีเข้มกว่าปลายกลีบ ดอกมีกลิ่นหอม <br />
<br />
<strong>ผล</strong>อวบน้ำมีรูปร่างแปลก ยาวได้ถึง 5 นิ้ว ผลหยักเว้าเป็นร่องลึก 5 ร่อง ผลอ่อนสีเขียว สุกแล้วมีสีเหลืองใส เปลือกผลบางเรียบมันรับประทานได้ เวลาหั่นขวางจะเป็นรูปดาวสวยงาม มีเมล็ดรีสีน้ำตาล สามารถกินได้ทั้งผลสุกและผลอ่อน<br />
</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">เชื่อว่ามะเฟืองมีถิ่นกำเนิดแถบศรีลังกาและมะละกา เป็นไม้พื้นเมืองแถบอินโดนีเซีย อินเดีย และศรีลังกา นิยมปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และบางส่วนของเอเชียตะวันออก <br />
นอกจากนี้ ยังพบมะเฟืองปลูกที่สาธารณรัฐโดมินิกัน บราซิล เปรู กานา กายานา ซามัว ตองกา ไต้หวัน French Polynesia คอสตาริกา และ ออสเตรเลีย <br />
ที่ฟลอริดาตอนใต้และฮาวาย สหรัฐอเมริกา มีแหล่งเพาะปลูกมะเฟืองเชิงพาณิชย์<br />
พบว่าประเทศมาเลเซียเป็นผู้ส่งออกมะเฟืองรายใหญ่ที่สุดของโลก</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div class="toc-back-to-top"><strong>สายพันธุ์มะเฟือง</strong></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">ต้นมะเฟืองมีรูปทรงสวยงาม ปลูกเป็นไม้ประดับก็ได้ หรือปลูกเป็นไม้เก็บผลก็ดี<br />
ประเทศไทยปลูกมะเฟืองกันหลายสายพันธุ์ ได้แก่<br />
<strong>* มะเฟืองเปรี้ยว เป็น</strong>พันธุ์ดั้งเดิมของประเทศไทย มีทั้งชนิดผลใหญ่และเล็ก <br />
<strong>* มะเฟืองพันธุ์ไต้หวัน</strong> ขนาดผลใหญ่พอประมาณ กลีบผลบาง ขอบบิด มีรสหวาน <br />
<strong>* มะเฟืองพันธุ์กวางตุ้ง </strong>มีสีขาวนวล ขอบกลีบผลสีเขียว มีรสหวาน<br />
<strong>* มะเฟืองพันธุ์มาเลเซีย</strong> ผลมีขนาดใหญ่ เนื้อฉ่ำน้ำ น้ำหนักมาก มีรสหวานอมเปรี้ยว <br />
มะเฟืองสามารถกินเป็นผลไม้ก็ได้ ปรุงเป็นกับข้าวก็ดี<br />
การกินมะเฟืองของคนไทยมีหลายรูปแบบ เช่น กินผลมะเฟืองสด ใช้เป็นเครื่องเคียงอาหาร (เครื่องเคียงแหนมเนือง) หรือจะแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ <br />
<br />
<strong>ใบอ่อน</strong>ของมะเฟืองกินเป็นผักได้ <br />
ที่ต่างประเทศนำมะเฟืองมาปรุงอาหารและเครื่องดื่มหลายชนิด พบทั้งเป็นส่วนประกอบในสลัดกุ้งก้ามกราม เป็นเครื่องเคียงอาหารเนื้อสัตว์ (ปลา หมู ไก่) ใช้แทนสับปะรดในอาหารจำพวกผัดผัก และเมนูอาหารอบ ปรุงผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ เช่น ทำแยม ทาร์ตและเค้ก และพบในเครื่องดื่มต่างๆ</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><strong>สรรพคุณทางยา</strong>ภูมิปัญญาไทยมีการใช้มะเฟืองสืบทอดกันมา ดังนี้<br />
<br />
<strong>ผลมะเฟือง </strong>ดับกระหาย แก้ร้อนใน ลดความร้อนภายในร่างกาย บรรเทาอาการของนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ขับเสมหะ ใช้ขจัดรังแค บำรุงเส้นผม ช่วยให้เลือดแข็งตัวง่าย ช่วยระงับความฟุ้งซ่าน ช่วยให้หลับง่ายขึ้น และบรรเทาอาการเลือดออกตามไรฟัน</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
<strong>ใบและราก</strong> ปรุงกินเป็นยาดับพิษร้อน แก้ไข้ ใบสดตำใช้พอกตุ่มอีสุกอีใสและกลากเกลื้อน <br />
ใบต้มน้ำอาบแก้ตุ่มคัน<br />
<br />
<strong>ใบอ่อนและรากมะพร้าว</strong> ผสมรวมกันต้มดื่มแก้ไข้หวัดใหญ่ <br />
<br />
<strong>แก่นและราก</strong> ต้มกินแก้ท้องร่วง แก้เส้นเอ็นอักเสบ<br />
</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><strong>ข้อควรระวัง</strong></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">มะเฟืองมีกรดออกซาลิกสูง ผู้ป่วยโรคไตและผู้ป่วยที่ต้องฟอกไตไม่ควรกินมะเฟืองเพราะจะเกิดอาการข้างเคียงและเจ็บป่วยมากได้ นอกจากนี้แล้วมะเฟืองมีฤทธิ์ต้านการทำงานของเอนไซม์ไซโทโครม พี 450 ซึ่งมีหน้าที่ในการกำจัดยาหลายชนิด เชื่อว่าโพรไซยาไนดินบี 1 และบี 2 และ/หรือโมเลกุล 3 ซึ่งประกอบด้วยคาทีชินและ/หรืออีพิคาทีชินเป็นสารที่ออกฤทธิ์ดังกล่าว ผู้ป่วยที่กินยาลดไขมันและยาคลายเครียดตามคำแนะนำแพทย์จึงไม่ควรบริโภคมะเฟือง</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div class="toc-back-to-top"><strong>ประโยชน์ต่อสุขภาพ</strong></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">มะเฟืองมีคุณสมบัติในการต้านออกซิเดชันสูง มีสารกลุ่มโพลีฟีนอลซึ่งมีฤทธิ์ต้านออกซิเดชันมาก สารสำคัญในกลุ่มนี้ที่พบในมะเฟือง ได้แก่ กรดแอสคอบิก อีพิคาทีชิน และกรดแกลลิกในรูปของแกลโลแทนนิน<br />
<br />
สารสำคัญที่แสดงฤทธิ์ต้านออกซิเดชันจากมะเฟือง คือ โพรแอนโทไซยาไนดินในรูปของโมเลกุลคู่ โมเลกุล 3 4 5 (dimers, trimers, tetramers and pentamers) ของคาทีชินหรืออีพิคาทีชิน <br />
นอกจากนี้ มะเฟืองมีวิตามินซีมาก บรรเทาโรคเลือดออกตามไรฟัน มะเฟืองมีปริมาณพลังงาน น้ำตาลและเกลือโซเดียมต่ำ เหมาะกับการกินเพื่อควบคุมน้ำหนัก คุมน้ำตาลในเลือด หรือลดความอ้วน มีกรดผลไม้มาก ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางชำระล้างผิวกายและป้องกันการเกิดสิว<br />
<br />
ฤทธิ์ลดน้ำตาลและสร้างไกลโคเจน<br />
งานวิจัยจากประเทศบราซิลในปีนี้พบว่าอนุพันธ์กลูโคไพแรนโนไซด์ของเอพิจีนิน (apigenin-6-C-beta-l-fucopyranoside) ที่ได้จากผลมะเฟืองมีผลทันทีในการลดน้ำตาลในเลือดของหนูที่เป็นเบาหวาน ไกลโคไซด์ดังกล่าวกระตุ้นการหลั่งอินซูลินชนิดที่ถูกกระตุ้นโดยกลูโคส และมีผลในการสังเคราะห์ไกลโคเจนในกล้ามเนื้อ soleus</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">ผลในการสังเคราะห์ไกลโคเจนในกล้ามเนื้อถูกยับยั้ง เมื่อมีการใช้สารยับยั้งการส่งผ่านสัญญาณสู่อินซูลิน (insulin signal transduction inhibitor) ฟลาโวนอยด์จากมะเฟืองจึงมีฤทธิ์เป็นทั้ง antihyperglycemic (insulin secretion) และ insulinomimetic (glycogen synthesis)</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"> <strong>เส้นใยอาหารจากมะเฟือง</strong></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">งานวิจัยจากไต้หวันพบว่าเนื้อผลของมะเฟืองมีปริมาณเส้นใยไม่ละลายน้ำสูง ส่วนใหญ่เป็นเพ็กทินและเฮมิเซลลูโลส เส้นใยเหล่านี้มีค่าทางเคมีและกายภาพ ได้แก่ ค่าการอุ้มน้ำ คุณสมบัติในการบวม การแลกเปลี่ยนสารมีประจุ สูงกว่าค่าที่ได้จากเซลลูโลส ปัจจัยดังกล่าวทำให้เส้นใยมะเฟืองมีความสามารถในการดูดซับกลูโคส และลดการทำงานของเอนไซม์อะไมเลส จึงน่าจะช่วยคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดหลังอาหารได้</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">งานวิจัยดังกล่าวจึงแนะนำให้ใช้เส้นใยจากผลมะเฟืองเป็นสารพลังงานต่ำที่ทำให้อิ่มเร็ว ใช้กินโดยตรงหรือเข้าสู่กระบวนการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็ได้ <br />
<br />
จึงขอแนะนำผู้ป่วยเบาหวานและผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักให้เลือกกินมะเฟืองผลไม้อุดมค่าชนิดนี้<br />
คนที่มีสุขภาพดีอยู่แล้วก็น่าจะเพิ่มคุณค่าของมะเฟืองเป็นรายการผลไม้ประจำวันได้เพราะมะเฟืองให้ผลตลอดปี</div>PANARATANAhttp://www.blogger.com/profile/11659354338411551061noreply@blogger.com0